เมื่อเราพูดถึงเศรษฐกิจแบบพอเพียง เราจะทราบดีจากการประชาสัมพันธ์โดยสื่อต่างๆในประเทศว่าเป็นแนวทางระบอบเศรษฐกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงแนะนำมาให้ประชาชนปฏิบัติตาม โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
คำว่า "พอเพียง" อันที่จริงแล้วมาจากคำว่า "self-sufficient economy" หรือว่าเศรษฐกิจแบบพอประมาณที่ประชาชนสามารถอยู่รอดได้ด้วยการกินอยู่แบบประหยัดและไม่เพิ่งพาใครโดยไม่จำเป็น เราสามารถที่จะอยู่รอดได้ด้วยการไม่เพิ่งพาอะไรเลยนอกจากตัวเอง ตัวอย่างเช่นชาวนาที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจน้อยก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำธุรกิจซื้อขายข้าวปลาอาหารกับโลกภายนอก หากสามารถปลูกกินเองได้แบบไม่อดตาย
ดั่งเช่นทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีข้อดีและข้อเสีย อันที่จริงแล้วมันก็มีประเด็นถกเถียงที่ค่อนข้างน่าสนใจหลากหลายประเด็นเกี่ยวกับการประยุกค์ใช้แนวทางเศรษฐกิจแบบไม่เพิ่งพาใคร แต่ผมไม่ขอเอ่ยดีกว่า เพราะไม่ต้องการให้เว็ปเพจนี้โดนบล็อก เนื่องจากเสรภาพในการแสดงความคิดเห็นของประเทศเรานั้นค่อนข้างจำกัด แต่ผมแค่อยากจะทำความเข้าใจให้กับท่านว่าประชาชนของเราล้วนต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่มีใครอยู่โดดเดี่ยวได้บนโลกใบนี้ โดยเฉพะอย่างยิ่งเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่ต้องก้าวทันการพัฒนาของยุคข้อมูลข่าวสาร และยุคการซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบไร้พรมแดน
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ สมมุติว่าประเทศไทยกับเยอร์มันมีการซื้อขายสินค้า 2 ชนิด ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ (หมายความว่า มีขีดความสามารถที่จะผลิตสินค้านั้นๆ ได้ดีกว่า) ในการผลิตสินค้าทางการเกษตร และประเทศเยอร์มันเองมีข้อได้เปลียบในการผลิตสินค้าด้านคอมพิวเตอร์ได้ดีกว่าเมืองไทย ในจุดนี้ หากเราจะใช้แนวทางแบบ "self-sufficient" มาประยุคใช้ ประเทศของเราทั้ง 2 ก็จะต้องทำการผลิตสินค้าทั้งสองอย่างโดยไม่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ประเทศไทยอาจมีผลผลิดทางการเกษตรที่ล้นเหลือ แต่ไม่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ประเทศเยอร์มันก็จะมีสินค้าด้านคอมพิวเตอร์ที่มากมายล้นตลาด แต่ไม่มีสินค้าทางการเกษตรที่เพียงพอมารองปากรองท้องให้กับประชากรของประเทศ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ประเทศของเราทั้ง 2 จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศของเราสามารถที่จะใช้ข้อได้เปรียบของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด และผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการซื้อขายที่เป็นธรรมระหว่างประเทศก็คือประชาชนของประเทศทั้ง 2 นั่นเองครับ
ดังนั้น หากชาวนาและชาวประมงทำการซื้อขายกัน ก็อาจเป็นการดีเสียกว่าที่จะให้ชาวประมงทำการหาปลาอย่างเดียวโดยจัดสรรทรัพยากรเวลาที่มีอยู่จำกัดของเขาในการจับปลาแทนที่จะมานั่งปลูกข้าว ส่วนชาวนาก็ทำหน้าที่ปลูกข้าวดั่งที่ตัวเองมีความถนัด แล้วค่อยมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างเป็นธรรมจะดีกว่า แต่การจะทำแบบนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ชาวประมงและชาวนาก็ควรมีความเข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นไว้ด้วย
แต่ถึงกระนั้น การที่เราสามารถเพิ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องเพิ่งพาการซื้อขายก็เป็นข้อดี ตราบใดที่เรามีทรัพยากรที่เพียงพอต่อความต้องการของชีวิตโดยมีความสุขและไม่ขัดสน
บทความโดย: Administrator, Thailand Economic Forum, Bangkok.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น